ประเทศไทย: หยุดใช้คดีหมิ่นประมาทต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี

ประเทศไทย: หยุดใช้คดีหมิ่นประมาทต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี - Civic Space

ภาพของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยโดยสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก

 

ARTICLE 19 กล่าวว่าเจ้าหน้าที่รัฐกำลังใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเป็นอาวุธมุ่งเป้าไปยังบุคคลที่มีความเห็นวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา บนพื้นที่โซเชียลมีเดีย ประธานของคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องชื่อเสียงของนายกฯ อ้างว่ามีการริเริ่มฟ้องคดีบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ไปกว่า 100 คดีตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2563 นายกฯ และตัวแทนของนายกฯ ควรหยุดการใช้กระบวนการหมิ่นประมาทในการโจมตีเสรีภาพในการแสดงออก และรัฐบาลไทยควรเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกโทษอาญาของกฎหมายหมิ่นประมาทอย่างเร็วที่สุด

“ปฏิริยาความหน้าบางนี้ต่อคำวิจารณ์ของสาธารณะนี้จะเป็นที่น่าตกใจอย่างมาก ถ้าไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว” ดาบิด ดิอาซ-ฮอร์เกซ์ ผู้อำนวยการโครงการอาวุโสของ ARTICLE 19 กล่าว “การใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเพื่อผลประโยชน์ตัวเองของนายกรัฐมนตรีเป็นตัวอย่างล่าสุดของความพยายามในการปิดปากผู้เห็นต่างและคำวิจารณ์สาธารณะ”

เป้าหมายล่าสุดของความพยายามปิดปากผู้วิจารณ์นายกฯ คือวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ พิธีกรรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียง วิญญูถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ด้วยข้อกล่าวหาว่าฝ่าฝืนมาตรา 328 (หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา) และมาตรา 393 (ดูหมิ่นซึ่งหน้า) ในกฎหมายอาญาของไทยหลังจากวิญญูโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ในทวิตเตอร์ ข้อมูลจากหมายเรียกของวิญญูแสดงให้เห็นว่าการสอบสวนนี้ริเริ่มโดยอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วิญญูปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

การสอบสวนต่อวิญญูเป็นกรณีล่าสุดที่ริเริ่มโดยอภิวัฒน์ ขันทอง ในนามของนายกรัฐมนตรี การฟ้องคดีของอภิวัฒน์ยังนำไปสู่การสอบสวน วีระชาติพงศ์
(ไม่เปิดเผยนามสกุล) จากการโพสต์ข้อความวิจารณ์นายกฯ ในเฟซบุ๊ก วีระชาติพงศ์เข้ารายงานตัวต่อตำรวจในวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ยอมรับข้อกล่าวหา จ่ายค่าปรับ เพื่อจบการสอบสวน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าคดีของวีระชาติพงศ์เป็นคดีหมิ่นประมาทคดีที่สี่ที่ริเริ่มโดยอภิวัฒน์ แต่รายละเอียดคดีอื่นไม่มีปรากฏเพิ่มเติม

หมายเรียกของวิญญูเปิดเผยว่าการฟ้องคดีนั้นเริ่มจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีหมายเลขที่ 32/2563 ลงวันที่ 21 กันยายน 2563 แม้ว่าตัวคำสั่งเองจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ หมายเรียกของวิญญูแสดงให้เห็นว่าคำสั่งนายกฯ นั้นเป็นคำสั่งในการตั้ง ‘คณะกรรมการตรวจสอบและดําเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค’

ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวออนไลน์ The Matter ในวันที่ 1มิถุนายน 2564 อภิวัฒน์ ขันทองกล่าวว่าคณะกรรมการที่อภิวัฒน์เป็นประธานถูกตั้งขึ้นเพราะนายกฯ ถูกโจมตีในโซเชียลมีเดียและไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ปกป้องนายกฯ อภิวัฒน์กล่าวต่อไปว่าคณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยนักกฎหมายจำนวนหนึ่งพร้อมคณะกรรมการอีก 30 คนซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหาหมิ่นประมาทบนโซเชียลมีเดีย และแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คดีที่ถูกรายงานต่อสาธารณะ อภิวัฒน์กล่าวอ้างในบทสัมภาษณ์ว่าคณะกรรมการชุดนี้ฟ้องคดีหมิ่นประมาท คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไปแล้วกว่า 100 คดีในนามของนายกรัฐมนตรี อภิวัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่าคดีส่วนมากจะจบลงในชั้นสอบสวนหากผู้ต้องหายินยอมขอโทษ จ่ายค่าปรับ และให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่กระทำผิดซ้ำ

ในความเห็นทั่วไปฉบับที่ 34 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า ‘บุคคลสาธารณะรวมถึงเจ้าหน้ารัฐที่มีตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงเช่นประมุขของรัฐหรือหัวหน้ารัฐบาลนั้นเป็นหัวข้อที่ชอบธรรมของการถูกวิพากษ์วิจารณ์’ และเน้นย้ำว่าการดูหมิ่นบุคคลสาธารณะนั้นไม่ใช่ความชอบธรรมสำหรับการลงโทษทางกฎหมาย

รายงานของ ARTICLE  19 ที่ออกมาในเดือนมีนาคม 2564 ‘ความจริงที่ต้องพูดถึง:กรณีสนับสนุนการยกเลิกความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญาในประเทศไทย’ วิเคราะห์กฎหมายหมิ่นประมาทอาญาของไทยและพบว่ากฎหมายหมิ่นประมาทอาญาของไทยนั้นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ บ่อยครั้งที่กฎหมายหมิ่นประมาทอาญาของไทยถูกใช้เพื่อปิดปากความเห็นที่ชอบธรรม ถึงแม้ว่าจะมีการยอมรับว่ากฎหมายหมิ่นประมาทถูกใช้อย่างไม่สมเหตุสมผลอยู่บ่อยครั้งในแผนปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รัฐบาลไทยกลับล้อมเหลวในการหยุดยั้งการฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ไม่มีมูล รัฐบบาลไทยควรยกเลิกโทษอาญาของกฎหมายหมิ่นประมาทและทำให้แน่ใจว่าโทษจำคุกจะไม่ถูกใช้ในคดีหมิ่นประมาท

“การใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาต่อผู้ใช้โซเชียลมีเดียทำให้เสรีภาพการแสดงออกในประเทศไทยยิ่งเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว” ดิอาซ-ฮอร์เกซ์ กล่าว “เจ้าหน้าที่รัฐไทยที่มีบทบาทในทางสาธารณะควรตระหนักถึงความสำคัญของการถกเถียงทางการเมืองอย่างเป็นสาธารณะและยอมรับการตรวจสอบมากกว่าคนอื่นๆ ในสังคม”

ข้อมูลเพิ่มเติม

ดาบิด ดิอาซ-ฮอร์เกซ์, ผู้อำนวยการโครงการอาวุโสของ ARTICLE 19, [email protected].

Posted In